Search for content in this blog.

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ


(ไม่สปอยล์)

       สวัสดีเพื่อนๆ ชาวเฉลิมไทยทุกคนนะครับ ก่อนอื่นเลยอยากจะขอพื้นที่เล็กๆแห่งนี้ ในการบอกต่อความสุข เรื่องราวดีดีให้กับเพื่อนทุกๆคนว่า ถ้าหากมีโอกาส หรือเวลาว่าง และอยากจะใช้เวลาอันมีค่าดูหนังดีดีซักเรื่องหนึ่ง ณ เวลานี้ อยากให้เพื่อนๆลองเปิดใจ ตีตั๋วกันเข้าไปบ้านหลังนี้กันนะครับ











                                     “Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ”

       อย่าตั้งกำแพงใดใดครับ สูดลมหายใจแล้วเดินเข้าไปในบ้านหลังนี้ ช่วงเวลา 2 ชั่วโมงเศษ จะทำให้คุณเดินกลับออกมาด้วยอารมณ์ที่ไม่เหมือนเดิม คุณอาจจะมีรอยยิ้มพร้อมกับหยดน้ำตา แต่มันก็จะทำให้คุณรู้ครับว่า “ความรักเป็นเช่นไร” ผมมีโอกาสได้ไปดูหนังเรื่องนี้แล้วบอกได้คำเดียวครับว่า “ประทับใจมาก” และอยากจะบอกต่อให้คนที่ยังลังเลในการตัดสินใจ ไม่อยากให้คุณพลาดหนังดีดีเรื่องหนึ่งไป จนกระทั่งหนังออกจากโรงไป เพราะวันนี้ผมแอบเช็ครอบและจำนวนโรงก็แอบใจหายเหมือนกัน หนังเพิ่งเข้าแท้ๆ แต่ได้รอบและโรงฉายค่อนข้างน้อย อยากให้กำลังใจคนทำหนัง เพื่อให้เขามีความกล้า และมีสิ่งหล่อเลี้ยงหัวใจในการคิดและสร้างสรรค์ผลงานดีดีออกมาให้พวกเราได้รับชมกันอีกเรื่อยๆนะครับ


      สำหรับเพื่อนที่ดูแล้วหรือต้องการอ่านสปอยล์เพื่อการตัดสินใจ ขอเชิญอ่านดังต่อไปนี้นะครับ นี่คือมุมมอง แนวคิด ความรู้สึก ที่ได้รับจากการดูหนังเรื่องนี้ เป็นแนวคิดส่วนตัวนะครับ ขอแชร์ความรู้สึกที่ได้จากมุมของผู้ชายคนนึง ที่ตกหลุมรักหนังเรื่องนี้ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน ^ ^



(สปอยล์)

“Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ” หนังแบ่งออกเป็น 3 เรื่องราวที่พันผูกกันแบบบางเบาแต่ทรงพลังทางสัญลักษณ์ที่ซุกซ่อนอยู่ที่มุมของหนังเรื่องนี้ หนังไม่ได้แบ่ง ความรัก ความสุข ความทรงจำ ออกจากกันโดยชัดเจน แต่หนังใช้คำสำคัญทั้งสาม ในการถักทอเรื่องราวต่างๆออกมาได้อย่างลึกซึ้ง อธิบายความหมายของทั้งสาม ที่หลอมรวมเป็นคำคำเดียวที่สำคัญที่สุดของหนังเรื่องนี้ คือ คำว่า Home หรือ บ้าน สถานที่ที่เป็นทั้งจุดเริ่มต้นและจุดสุดท้ายของเรื่องราวต่างๆภายในชีวิตของคนเรา


ถ้าจะให้นิยาม คำว่าบ้าน อาจจะได้คำตอบที่แตกต่างกันไป ตามพัฒนาการของช่วงวัยที่ล่วงเลย โดยเฉพาะในชีวิตวัยเด็กที่เราต้องศึกษาหาความรู้ นิยามของคำว่าบ้าน อาจจะหมายความรวมถึง โรงเรียน ที่ซึ่งทำให้เด็กคนหนึ่งก้าวข้ามผ่านความโดดเดี่ยว ความเหงา เพื่อไปพบกับมิตรภาพที่สวยงาม ของคำว่าเพื่อน หรือกระทั่ง ความรักแบบ Puppy love ที่จะทำให้หัวใจดวงน้อยๆของเราในวัยเด็ก พองโต กระชุ่มกระชวย สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงวัยนี้ แม้มันจะไม่สามารถตอบได้ว่ามันจะจีรัง ยืนนาน ไปได้ไกลแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ตอบได้อย่างชัดเจน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในช่วงวัยเด็ก คือ สิ่งที่บริสุทธิ์ และสวยงามที่สุด อย่างแท้จริง

เนและบีม คือตัวแทนจุดเริ่มต้นของเรื่องราว ที่สามารถอธิบายได้ ทั้ง ความรัก ความสุข และความทรงจำ เพราะนิยามคำว่าบ้านของเด็กผู้ชายทั้งสองคน ก็คือ โรงเรียน ที่ทำให้พวกเขาพบเจอกับเรื่องราวต่างๆมากมาย เพื่อนๆหลายๆคนที่ได้ไปชมแล้ว คงจะตีความกันไปต่างนานา ซึ่งก็มีทั้งไปในทิศทางเดียวกันบ้างและต่างกันบ้าง ผมขออนุญาตเสนอในแนวคิดของผมแล้วกันนะครับ ซึ่งแน่นอนครับ ค่อนข้างจะฉีกแนวออกจากที่เพื่อนๆหลายๆคน กล่าวถึง คู่นี้กันเลยทีเดียว

ผมมองว่า เนและบีม ต่างก็รู้สึกดีซึ่งกันและกันมาก่อน เพียงแต่ว่าเวลาและโอกาส ความกล้า ของแต่ละคนก็อาจไม่มีมากพอ แต่เมื่อเวลาหนึ่งได้เดินทางมาถึง นั่นคือช่วงเวลาของการจากลา ที่ทั้งสองอาจจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก คนนึงกำลังจะจบ ม. 6 เพื่อก้าวต่อสู่รั้วมหาวิทยาลัย อีกคนนึงกำลังจะจบ ม.3 และกำลังจะย้ายโรงเรียน เพื่อหนทางของการเป็นนักบาสอาชีพ ซึ่งแน่นอนถ้าคนทั้งสองไม่คิดจะทำอะไรเลย สายตาที่เคยแอบซ่อนมองดูซึ่งกันและกัน ความรู้สึกลึกๆที่อยู่ภายในใจ มันก็คงมีความหมายเพียงแค่การแอบชอบและเป็นความลับไปตลอดกาล เขาทั้งสองจึงใช้เวลาเพียง 1 คืน ในการทำความรู้จักกันอย่างจริงจัง และก่อร่างสร้างมิตรภาพขึ้น  เพื่อสานต่อความสัมพันธ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต

การเจอกันของบีมและเนในคืนนั้น ผมยอมรับว่ามันคือ ความบังเอิญ แต่มันช่างเป็นความบังเอิญที่จงใจเหลือเกิน ที่คนสองคนที่ไม่ได้สนิทสนมกัน แต่กลับเปิดฉากบทสนทนากันจนยาวยืด และใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันถึง 1 คืน โดยที่ไม่มีทีท่าของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แสดงออกถึงความเบื่อหน่าย หรืออาการง่วงนอนเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อชีวิตเรามีทางเลือกที่จะอยู่หรือจะไป หรือจะไปทำอะไรก็ได้ตามใจของเรา แต่เหตุผลอะไรหล่ะครับ ที่เราจะอยู่กับคนแปลกหน้าคนนึง ที่เราไม่เคยพูดเคยคุยกะเขามาก่อน ได้อย่างสนิทใจและมีความสุข บางทีมันอาจจะเป็นเพราะการคุยกันถูกคอและการถูกชะตาซึ่งกันและกัน แต่แน่นอนครับเหตุผลที่ผมก็จงใจคิดเสียเหลือเกิน คำนั้น สั้นๆ ง่ายๆ คำเดียวเลย คือ ความรัก นั่นเอง ที่ทำให้คนแปลกหน้ากลายเป็นคนที่เราอยากจะเข้าใกล้ คนไม่คุ้นเคยที่เราอยากจะเปิดเผยหัวใจ เราจะอยากไปไหนหล่ะครับ เมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าคือคนที่เราแอบชอบมานานแสนนาน แถมบรรยากาศก็เป็นใจ ไม่มีสายตาคนรอบข้างที่จะจับจ้องมองดูอย่างเคลือบแคลงสงสัยอีกต่างหาก นั่นแหล่ะครับที่ทำให้บีมกะเน อยู่กันยืดจนกระทั่งแสงแรกของพระอาทิตย์ยามเช้าปรากฎ

ผมชอบสัญลักษณ์ที่ ผู้กำกับแอบซ่อนเอาไว้ในประเด็นต่างๆ เช่น ชื่อของตัวละครทั้งสอง ที่สามารถบอกคาแรคเตอร์ของเนและบีมได้เป็นอย่างดี

เน  (Nay)  ความหมาย คือ การปฏิเสธ เนใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว และเหงาๆ เพราะเขาเป็นคนที่เข้าหาคนไม่เก่งและปฏิเสธสังคมอยู่ไม่น้อยเช่นกัน คนประเภทเน ไม่ได้ต้องการมีเพื่อนที่เยอะแยะ แต่แค่ต้องการเพียงใครซักคนที่อยู่ข้างๆ รับฟังปัญหา จริงใจ และไม่คิดแต่หาประโยชน์จากพรสวรรค์ของตัวเขา เน เลือกที่จะปฏิเสธการสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนที่เห็นค่าของเขาเพียงแค่การเป็นช่างภาพ เพื่ออยู่กับตัวเองกับสิ่งที่ตัวเองรัก และมันอาจทำให้เขาพบกับใครคนนั้นที่เก็บตัวเข้าค่ายผู้นำบาสอยู่ ณ โรงเรียนแห่งนี้

บีม (Beam) ความหมาย คือ รอยยิ้ม บีมเป็นเด็กที่น่ารัก ขี้อ้อน ขี้เล่น ช่างซักช่างถาม และก็เจ้าเล่ห์พอสมควร เป็นเด็กยิ้มง่าย รอยยิ้มที่สดใสของบีมนี่แหล่ะที่ละลายหัวใจเน จนอ่อนหยวบ และชื่อบีม ยังแปลว่า ลำแสง หรือแสงแดด ที่โยงไปถึงลายเสื้อที่เนใส่ และภาพสุดท้ายที่เนกดชัตเตอร์ถ่ายรูปบีม เพราะถ้าสังเกตดีดี ลายเสื้อของเนที่เป็นเสื้อสีส้มอ่อน จะเป็นรูปต้นไม้ ท้องฟ้า และมีลำแสงสีส้มๆที่พาดผ่านหน้าอกด้านซ้ายของเนอยู่ ในขณะที่เสื้อของบีม จะมีสัญลักษณ์เป็นรูปนกกระดาษอยู่

“ หากเธอลองมองไปยังฟ้าแสนไกล และคิดถึงใครหนึ่งคนคุ้นเคย”

เพลงผ่านเลยไป เติมเต็มความหมายที่เกี่ยวโยงสัญลักษณ์นี้ได้เป็นอย่างดี คือหากเรายืนอยู่ในมุมมองของพื้นดิน แหงนหน้ามองท้องฟ้า มองผ่านต้นไม้ใหญ่ซักต้นหนึ่ง แน่นอนว่าเรามีโอกาสที่มองเห็นนก เกาะอยู่ตามกิ่งไม้ และยิ่งถ้าเรามองในช่วงยามเช้าหรือยามเย็น เราจะมองเห็นลำแสงพาดผ่านเข้ามาในโฟกัสของสายตาของเราด้วย เปรียบเสมือนเนกะบีม หากบีมเป็นนก แน่นอนมันย่อมคู่กับกิ่งไม้และท้องฟ้า ที่ปรากฎอยุ่บนเสื้อเน หากเนคิดถึงบีม ก็ให้เนมองไปยังฟ้าแสนไกล และเนจะเห็น นก ซึ่งตัวแทนของบีมที่ปรากฎบนลายเสื้อของบีม สำหรับลายเสื้อที่เป็นลำแสงสีส้มที่อยู่บนหน้าอกของเน เปรียบเสมือนความรักของบีมที่ผ่านเข้ามาในหัวใจของเน และก็ผ่านเลยไป แสงในตอนเช้าและรอยยิ้มสุดท้ายของบีม คือตัวแทนบีม ที่จะอยู่ในความทรงจำของเนอีกแสนนาน

การเล่นใช้โทนสีเสื้อในการบอกเล่าตัวตนของเนและบีม สีเหลืองของบีม ที่สดใส ซาบซ่าส์ แก่นเซี้ยว สีโอรสของเน ที่อบอุ่น เปลี่ยวเหงา โดดเดี่ยว ขี้อาย แต่นุ่มนวล ละมุนละไม หรือแม้แต่กางเกงที่ทั้งสองสวมใส่ ก็บ่งบอกถึงอนาคตของทั้งสองได้เป็นอย่างดี กางเกงนักเรียนของเน สื่อถึงความรู้สึกทั้งในปัจจุบันของเน และทิศทางอนาคตของเน กล่าวคือ กางเกงนักเรียน คือตัวแทนของสถานที่ ที่เนแทนค่ามันว่า คือบ้านของเน พื้นฐานครอบครัวของเนเป็นอย่างไร ผมไม่อาจคาดเดา และโรงเรียนในเรื่องนั้นจะอุปมาอุปไมยให้เป็นโรงเรียนประจำหรือไม่ก็ตาม แต่หนังให้ความรุ้สึกว่า โรงเรียน คือสถานที่ที่เนใช้ชีวิตอยู่โดยตลอด ทำให้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย เหมือนคอนเซปต์การถ่ายรูปในคืนที่บีมและเนได้คุยกัน ที่เนอยากถ่ายรูปโรงเรียนตอนไม่มีคน เป็นรูปวิวเปล่าๆ ให้คนได้ใส่เรื่องราว เมื่อบีมถามเนว่าเห็นอะไรจากภาพๆหนึ่ง ซีนนั้น ผมเห็นถึงความสุขและรอยยิ้มบางๆของเน ถึงว่าแม้เนจะตอบว่าจำอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันก็ตาม ในขณะที่กางเกงลายตารางของบีม ความเป็นตารางมันให้ความรู้สึกของการถูกกำหนดมาแล้ว เหมือนชีวิตของบีมที่เหมือนพรสวรรค์ที่มีและถูกกำหนดมาแล้วคือ การเล่นบาส และดูเหมือนไม่มีทางอื่นที่ดีกว่า สังเกตได้จากการที่เนถามบีมเรื่องอนาคต สิ่งเดียวที่บีมสามารถตอบเนได้ก็คือ ก็คงเล่นบาสต่อไป

“กี่หมื่นพันคำที่ไม่ทันเอื้อนเอ่ย แต่เธอยังคงเก็บมันไว้ข้างในใจ”

ถ้าโรงเรียนคือบ้านของเน กล้องถ่ายรูปของเน ก็น่าจะเหมือนลมหายใจของเนเลยทีเดียว เพราะมันคือสิ่งที่เป็นเหมือนเพื่อนยามเหงา เป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตเท่าที่เนมี ซึ่งคนที่เล่นกล้องคงจะทราบดีว่า กล้องมีอิทธิพลต่อเรามากขนาดไหน ดังนั้น ถ้ากล้องคือเพื่อนที่ดีที่สุดของเน ถ้ากล้องคือชีวิตทั้งชีวิตของเน ก็สมควรแล้วที่เนจะเก็บภาพบีมไว้ในนั้น เหมือนการเก็บความทรงจำที่ดีของคนที่เรารักเอาไว้ส่วนที่ลึกและสำคัญที่สุดของร่างกายเรา นั้นก็คือ  หัวใจ  ซึ่งเห็นได้จากตอนท้ายของพาร์ทแรก ที่เนไล่ดูรูปในกล้อง สังเกตได้ว่ารูปที่ยังคาอยู่ในกล้อง มีแต่รูปบีม ที่ถ่ายในช่วงเวลาที่ไม่ติดกัน แต่รูปวิวต่างๆดันกลับหายไป เหลือแต่รูปบีมเท่านั้น วนไปวนมา ซ้ำไปซ้ำมา และตอนจบของเรื่องที่ความตายมาพรากคนทั้งสองให้ต้องจากกัน นกไม่ได้เกาะกิ่งไม้อีกแล้ว แต่กลับโผบินกลับคืนสู่ท้องฟ้าที่ไกลแสนไกล แต่เนก็ยังคงเก็บบีมเอาไว้ในเมมโมรี่กล้อง เสมือนเป็นเครื่องเตือนความทรงจำ ให้ยังคงคิดถึงบีม และเป็นการรักษาสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะไม่ลืมกัน เพราะสิ่งที่บีมกลัวคือกลัวว่าจะไม่มีใครจำเรื่องราวของเขาได้ ซึ่งแน่นอนการพูดแบบนี้ให้ใครซักคนฟัง คนพูดไม่ได้ต้องการใครหรอกที่จะจำผู้พูดได้ นอกจากคนที่นั่งฟังผู้พูดนั่นแหล่ะ การย้ายโรงเรียนบ่อยและปัญหาครอบครัวของบีม ทำให้บีมอยากเป็นที่จดจำ อยากเด่นอยากเป็นที่สนใจ การตัดสินใจเล่นบาสก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่จะทำให้คนจดจำเขาได้ แต่บนฟ้าก็คงไม่มีนกเพียงตัวเดียว และนกอย่างบีมก็เป็นเพียงแค่นกกระดาษ ก็คงไม่เป็นที่ได้รับความสนใจสูงสุดเทียบเท่าเตอร์ที่เป็นนกอีกตัวที่อยู่บนท้องฟ้า บินทัดเทียยมกัน แต่เตอร์ดันเป็นนกจริงๆ เป็นนกที่อยู่มานาน ไม่ได้ย้ายโรงเรียนบ่อยๆ จนมีสภาพเป็นเด็กหน้าใหม่ตลอดในสังคมโรงเรียน บีมจึงรู้สึกว่าน้อยใจอยุ่พอสมควรกับสถานะนี้ของตน แต่ก็คงไม่เสียใจเท่า เมื่อรู้ว่าคนที่เราแอบชอบ ก็ดันชอบและให้ความสำคัญกับเตอร์ด้วยเช่นกัน

สัญญาณต่างๆที่ผมมองว่าทั้งสองรักกัน อาทิ ผมมองว่าการใส่รองเท้าบาสของบีม และการเดินเข้ามาทักเน ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ แต่เกิดจากความพยายามสร้างความสนใจ และรื้อลิ้นชักความทรงจำของเน ให้นึกถึงภาพของนักบาสหนุ่มคนหนึ่ง ที่อาจจะถูกเตอร์บดบังรัศมีอยู่ ถ้าไม่คิดอะไรก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องหลอกผีเพื่อโอกาสในการพูดคุยและอยู่ต่อ ในส่วนของเนที่น่าจะชัดเจนในเพศสภาวะ ทั้งสรรพนามที่เพื่อนโทรศัพท์เรียก และกิริยาท่าทางที่ไม่ปฏิเสธอย่างเต็มปาก หรือการขวยเขินอย่างผู้หญิงของเน มันชี้ชัดให้บีมรุ้ว่า เนนั้นมีรสนิยมทางเพศแบบใด ถ้าบีมไม่คิดอะไรเลย อาจจะเกิดความไม่สะดวกใจขึ้นเล็กๆ แต่สิ่งที่ปรากฎคือ ยิ่งบีมรู้ บีมก็ยิ่งแสดงกิริยาร่าเริง สมใจออกมาอย่างต่อเนื่อง ยังกล้าที่จะออดอ้อนใกล้ชิด การซ้อมบทการขอแพร เพื่อนสาวของเนดูหนัง โดยไม่ให้เอารูปแพรปิดหน้า และบีมก็ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยไม่หลุดขำ มันบ่งชี้ได้ว่า บีมไม่ได้คิดว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือแพร แต่คิดว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือ เน คือคนที่บีมอยากจะไปกินข้าวดูหนังด้วย และอยากจะทำความรู้จักให้มากขึ้นจริงๆ ผมสังเกตประโยคการเรียก ใช้คำว่าพี่เฉยๆ ไม่ใช่พี่แพร มันยิ่งทำให้คิดได้ว่า จริงๆแล้วบีม อาจจะอยากเรียกว่า พี่เน หรือไม่ได้คิดจินตนาการว่าคนที่อยุ่ตรงหน้าคือพี่แพร แต่ระลึกอยู่เสมออยู่แล้วว่าคนที่อยุ่ตรงหน้า คือ เน คนที่บีมอยากจะพูดแบบนี้กับเขาจริงๆ  หรือจะการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆที่เป็นเรื่องส่วนตัว การขอกอดลาที่บีมขอเน ทั้งๆที่ก็รู้ว่าเนเป็นเกย์ การเขียนอีเมลล์ให้ที่ท้ายรถ หรือรอยยิ้มแซวๆของเพื่อนๆร่วมทีมที่บีมไม่ได้สะเทิ้นอายอะไร แต่บทสรุปที่ชัดเจนที่สุดคือรอยยิ้มที่เกิดขึ้นกับตัวเองของคนทั้งสองในฉากสุดท้ายก่อนเปลี่ยนพาร์ท นั่นคือบทสรุปของความรักและความสุขที่เกิดขึ้นแล้วอย่างแท้จริงกับคนทั้งสอง  ประโยคขอบคุณนะของบีม เพื่อจะส่งผ่านบอกเนว่า ขอบคุณช่วงเวลา 1 คืนที่ทำให้เขามีความสุขมากๆ และเป็นการขอบคุณสัญญาที่เนให้บีม ว่าจะไม่มีวันลืมบีมแน่นอน สำหรับ “ขอบคุณเหมือนกัน” ของเน เป็นเหมือนสิ่งที่เนต้องการจะส่งผ่านไปยังบีมว่า เรารับรู้ได้นะถึงสิ่งที่นายมีให้ แม้ในที่สุดเราจะไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกมาเลย เราจะไม่ขอเบอร์ติดต่อกันเลย แต่เนก็เชื่อว่าบีมรู้สึกดีดีให้ ซึ่งเนก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าในอดีตบีม อาจะเป็นเพียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ซึ่งเนจำอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน เหมือนเป็นรูปที่โฟกัสไม่ชัดที่หน้าบีม หรือ หลุดเฟรมไปเลยเนื่องจากไม่อยู่ในวันรับรางวัล แต่เมื่อในท้ายที่สุด นกกระดาษตัวนี้ได้บินมาเกาะกิ่งไม้กิ่งนี้ ลำแสงสีส้มอันนั้นได้พาดผ่านเข้ามาในหัวใจเน อันอาจจะทำให้เนรู้ว่า รอยยิ้มที่เขาเฝ้าตามหามาแสนนาน ก็คือรอยยิ้มของบีมในเช้าวันนั้นนั่นเอง

ความหมายของคำว่าบ้าน คือสถานที่ที่มันทำให้เรารู้สึกว่ามีใครบางคนรอเราอยู่ ณ ที่แห่งนั้น

พาร์ทสองนี้เล่าเรื่องราวของป้าจัน ที่ความตายได้มาพรากร่างกายของลุงจรัส สามีอันเป็นสุดที่รักของป้าจันไป แต่ความรักของป้าจันและลุงจำรัสนั้นมันยังคงอบอวลอยุ่ในบ้านหลังเล็กๆ ที่มีต้นนุ่นที่เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆอยู่ที่ด้านหน้าของบ้าน มีมุมโต๊ะนั่งเล่น และปฐมพยาบาลกันในยามเจ็บไข้ เก้าอี้โยกตัวโปรดที่ อยู่ตรงบานหน้าต่างที่แสงแดดส่องเข้ามาบางๆในยามเช้า  ชิงช้าตัวยาวที่แกว่งไกวรับลมเย็นๆ เมื่อยามปลายฝนต้นหนาว ทุ่งข้าวโพดข้างบ้านที่ทอดยาวไกลสุดสายตา โรงบ่มยาสูบที่พัฒนาเป็นรีสอร์ตแสนสวย ณ เมืองเชียงใหม่  ป้าจันและสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยังคงอยู่แม้ลุงจำรัสจะจากไปแล้ว แต่มันกลับทำให้ ความคิดถึง ความห่วงหา ไม่เคยเลือนจากไปจากใจของป้าจันเลยแม้เวลาจะล่วงเลยไปนานเพียงใด

ความคิดถึงนำมาซึ่งความฝัน ความคิดถึงนำมาซึ่งความหวัง “ดังในใจความบอกในกวี ว่าตราบใดที่มีรักย่อมมีหวัง” ป้าจันมีความหวังว่าคนที่ตัวเองรักจะกลับคืนมา เพราะความรักที่ยังทำให้ป้าจันคิดถึงลุงจรัสอยู่ทุกวินาที ซึ่งถ้าเรื่องชาติภพมีจริง แน่นอนว่าลุงจรัสย่อมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของป้าจันที่ส่งผ่านไปถึง แต่ในมุมกลับกันของโลกแห่งความเป็นจริง ป้าจันคงไม่มีความสุขนักกับการจมอยู่กับอดีตที่เราไม่อาจหวนมันกลับคืนมา เราจะทำอย่างไรที่จะอยู่กับปัจจุบันได้อย่างมีความสุข โดยให้อดีตเป็นเพียงความทรงจำที่คอยย้ำเตือน ให้เรายังคิดถึง ให้เราก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างมีความสุข การที่ป้าจันยังคงเก็บกระดาษโน้ตของลุงเอาไว้ ยิ้มกับมันได้ บ่นกับมันได้ เปรียบเสมือนการยังคงได้พูดคุยตอบโต้กับคนที่เรารักอยู่ เป็นเพียงความพยายามของป้าจันที่ไม่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงสถานะ หรือก้าวข้ามผ่านความเปลี่ยนแปลงในชีวิตและ ยังคงหวังลึกๆว่าคนที่รักจะกลับมา ทั้งเรื่องการคิดว่าลุงจะกลับมาเกิด การโมโหประเด็นการทำแท้งที่ตนเองอาจจะไม่ผิดด้วยซ้ำ เพราะไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ มันทำให้เราเห็นถึงการไม่ยอมรับความจริงที่ทรมานจิตใจ ว่าคนที่รักนั้นไม่อยู่แล้ว และจะไม่มีวันกลับมาอีกด้วย
เหว่ากับชมพู่ คือตัวแทนของการใช้ชีวิตอยู่ก่อนแต่ง และความรู้สึกของความเป้นครอบครัว แม้จะไม่ได้เป็นลูกแท้ๆ แต่ก็เป็นหลาน ที่แท้ที่จริงแล้วคำว่าบ้าน คำว่าครอบครัว มันอาจจะไม่ได้หมายความแค่คนที่มีสายเลือดเดียวกันอย่างแท้ๆ แต่น่าจะหมายความถึง คนที่ร่วมทุกข์ ร่วมสุข พึ่งพาอาศัยกัน มีความรู้สึกที่ดีให้กัน ผมรู้สึกได้ว่าทั้งเหว่าและชมพู่ต่างก็รักลุงและป้า ความพยายามในการทำลูก ไม่ได้เพียงแค่การตอบสนองความใคร่ส่วนตัว แต่เป็นความรู้สึกถึงความหวัง ว่าถ้ามีลูกขึ้นมาจริงๆ ลูกของเขาอาจจะเป็นลุงจรัสกลับชาติมาเกิดก็เป็นได้

ใบมีดตัดหญ้าที่ผิดเบอร์ จากการจดบันทึกของลุงจรัส สอนให้ผมรุ้ว่า การเชื่อเพียงเพราะเขาบอกมาในอดีตอาจจะไม่เพียงพอและถูกต้องเสมอไป คนที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันต่างๆหาก มีหน้าที่ที่จะต้องแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง เรียนรู้ในสิ่งที่รอบตัวด้วยตัวเอง เปรียบเหมือนการที่ป้าจันต้องยืนอยู่เพียงลำพังให้ได้ แม้ไม่มีลุงจรัสแล้ว

หนี้สินที่ลุงจรัส สร้างไว้ และปรากฎขึ้นภายหลังจากที่ลุงตายไป มันไม่ใช่ภาระที่จะมองแค่ว่าลุงก่อไว้ให้คนที่อยุ่ต้องมารับผิดชอบ หนี้ก้อนนั้นแท้จริงคือสิ่งที่ลุงจรัสใช้ในการประคับประคองครอบครัวในฐานะผู้นำครอบครัว เพื่อความสุขของสมาชิกในครอบครัว เป็นอุปสรรคที่เข้ามาเพื่อท้าทายชีวิต ให้เราตู้สู้เพื่อแสงหาความมั่นคงต่อมาในอนาคต มันไม่ใช่หน้าที่ใครที่ต้องรับผิดชอบแต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะเมื่อปัญหามันเกิดขึ้นในครอบครัวทุกคนในครอบครัวก็ควรจะร่วมมือกันช่วยแก้ไข โดยไม่โทษว่าเป็นความผิดของใคร เพราะตราบใดที่เราใช้แต่อารมณ์ในการแก้ไขปัญหา หรือแบกรับมันไว้เพียงคนเดียว มันจะทำให้เราไม่สามารถมองเห็นทางออก เหมือนการที่ป้าจันหาสมุดบัญชีธนาคารไม่เจอ เพียงเพราะใช้อารมณ์โกรธคนตายจากปัญหาที่ทิ้งไว้ให้ แต่พอลองเย็น และเปิดโอกาสให้คนในครอบครัวได้แบ่งเบา มันก็อาจจะทำให้พบสมุดบัญชีในที่สุด

เบียร์เป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกถึงความขบถเล็กๆของลุงจรัส บางทีการที่เรายึดติดกับกรอบ กับกฎเกณฑ์ มากจนเกินไป แล้วนำมันมาบังคับใช้กับชีวิตครอบครัว มันอาจจะตึงจนเกินไปจนทำลายความสุขภายในครอบครัว เบียร์อาจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีในแง่ของสุขภาพ ความเชื่อทางศาสนา แต่สิ่งนั้นอาจจะความต้องการเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้คนที่เรารักมีความสุขและ ยิ้มได้  ความรักไม่ใช่การบังคับและการเอาชนะ เพียงแต่ว่าในบางกรณี อาจจะต้องมีคนหนึ่งที่ยอมถอยไปซักก้าว ซึ่งมันจะทำให้ชีวิตคู่อยู่กันไปได้อย่างมีความสุข

กระดาษโน้ตของลุงจรัส คือ ตัวแทนของความรุ้สึก ที่ไม่อาจพูดมาได้ แต่ก็ต้องการสื่อให้ป้าจันได้รับรู้ โดยเฉพาะกระดาษที่หล่นจากที่บังแดดในรถยนต์ มันบ่งบอกว่า แม้เวลามันจะผ่านมาเนิ่นนานแค่ไหน ฉันก็ยังจำเรื่องราวสำคัญต่างๆของเธอได้นะ การเอากระดาษไปซ่อนตรงนั้น มันเป็นการเติมความหวานให้กับชีวิตคู่ ให้เสมือนกลับไปตอนจีบตอนรักกันใหม่ๆ ที่ต่างฝ่ายต่างจะพยายามสร้างความเซอไพรซ์ สร้างความประทับใจให้กับคนที่เรารัก แต่ป้าจันด้วยความที่ต้องดูแลลุงจำรัสมาโดยตลอดเพราะลุงจรัสป่วย ความหนักในหน้าที่รับผิดชอบ อาจทำให้ป้าจันหลงลืมความหวานในชีวิตรัก เหมือนหลงลืมว่าขับรถในวันที่มีแดดส่องแรงๆ ป้าต้องที่กันแดดมาบังตานะ กระดาษใบนั้นมันจึงยังคงถูกซุกซ่อนอยู่จนกระทั่งลุงจรัสตายไปนานมากแล้ว จนวันนึงที่ป้าจันเข้าใจทุกอย่าง เข้าใจชีวิต เหมือนการที่ป้าจันเอาที่กันแดดลงเพื่อป้องกันตาจากแสงแดด วันนี้นี่เอง ป้าจันจึงได้พบ ความรักที่ลุงจรัสยังคงเก็บรักษาเอาไว้ให้ป้าจันเสมอ แม้วันที่พบจะไม่ใช่วันเกิดของป้า แต่เชื่อเถอะว่า กระดาษใบนี้มันถูกเก็บมาตั้งแต่วันเกิดครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ตั้งแต่ลุงจรัสจะตายจากป้าไป

ต้นนุ่นที่หน้าบ้าน สอนให้เรารู้ว่า ความรัก หรือการใช้ชีวิต ก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้ ที่เราต้องเฝ้าพรวนดิน รดน้ำ ฉีดแมลง และคอยดูพัฒนาการของมันไป จากเมล็ดจนโตเป็นต้นไม้ใหญ่ ออกดอก ออกผล แผ่กิ่งก้านให้นก ให้แมลง ได้พึ่งพิง สร้างร่มเงาให้สรรถสิ่งที่อยุ่ใต้ต้นไม้ร่มเย็น  การที่ชมพูไปเขย่าต้นไม้เพื่อให้ฝักนุ่นแตก ทั้งที่ ฝันนุ่นยังอ่อนอยู่ ทำให้ปุยนุ่นและเม็ดนุ่นไม่ปลิวร่วงลงมา ก็เปรียบเสมือน ความรักต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งสองฝ่ายในการร่วมกันเขย่าต้นไม้ สิ่งต่างๆถึงจากสำเร็จ เหมือนตอนฉากสุดท้ายที่ เหว่ามาช่วยชมพู่เขย่าต้นนุ่น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากฝักนุ่นยังไม่แก่พอ ถึงจะเขย่าอย่างไรปุยนุ่นก็คงไม่ปลิวสมดังใจหวัง เปรียบเสมือน ความรัก หรือการเข้าใจชีวิต ถ้ามันยังไม่ถึงเวลาอันเหมาะสม ต่อให้เราพยายามทำอย่างไรมันก็ไม่มีทางสำเร็จ ความรักอาจจำเป็นต้องใช้เวลา เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมมันก็คงกลายมาเป็นของเรา แต่ถ้ามันยังไม่ถึงเวลา เราจะพยายามไขว่คว้าเท่าไหร่ก็คงไม่ได้มันมาครอง หรือเหมือนการที่ป้าจันพยายามทำใจกับการจากไปลุงจรัส ทำเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้ แต่พอวันหนึ่งที่มันถึงเวลาที่เหมาะสม มันก็อาจจะทำให้ป้าจันเข้าใจ และสามารถอยุ่ได้เพียงลำพังอย่างมีความสุข โดยที่ความคิดถึงไม่ได้ลดน้อยลง โดยที่ความรักไม่ได้เลือนจากไป แสงแดดที่ส่องจากหน้าต่างมายังเช้าวันนั้นที่ป้าจันลืมตาขึ้นมาจากความฝัน เป็นสัญลักษณ์บ่งชี้ว่า ป้าจันเข้าใจทุกอย่างแล้ว ในขณะที่ต้นนุ่นและฝักนุ่นเป็นสัญลักษณ์ที่ดีเยี่ยมในการอธิบายถึง เวลาอันเหมาะสม และความรักไม่ได้เกิดขึ้นเพียวคนๆเดียว และแน่นอนปลิวนุ่นสุดท้ายในตอนจบของเรื่อง คือ ตัวแทนของความคิดถึงของคนที่อยู่ที่ส่งผ่านไปถึงคนที่จากไป

บ้าน บางที่เป็นสถานที่ที่เราหลงลืมให้ความสำคัญ เพราะเราเริ่มสนุกกับสังคม กับโลกที่เราไม่เคยได้พบเจอ แต่เชื่อเถอะว่า ทุกครั้งที่เรามีปัญหา เราเสียใจ เราร้องไห้ ไม่มีสถานที่ไหนที่จะทำให้รู้สึกสบายใจเท่ากับบ้าน และคนที่รอคุณอยู่ที่บ้าน

ในพาร์ทนี้เล่นกับสองประเด็นที่สำคัญ  คือความรักของหญิงชายคู่หนึ่งที่กำลังจะเริ่มก่อร่างสร้างครอบครัว แต่ต้องพบกับความท้าทายต่างๆที่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน ที่ทำให้ทั้งสองได้คิด ได้เรียนรู้ และตัดสินใจ ว่าท้ายที่สุดแล้ว เข้าพร้อมหรือไม่ที่จะใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน ในเมื่อเขาแตกต่างกัน ทั้งฐานะ ภาษา ลักษณะนิสัย และอีกประเด็นที่สำคัญคือ ความรักภายในครอบครัว ที่บางทีเราหลงลืม และมักจะเลือกโทษ เลือกโยนความผิดให้กับคนในครอบครัว ที่เขาต่างก็รักเรา แต่เรากลับเลือกที่จะเชื่อ เลือกที่จะแคร์คนนอกครอบครัว แคร์เพื่อนแคร์ฝูง แคร์สายตาคนอื่น มากกว่า

ยา กับ มอส คือพี่น้องที่กำพร้าพ่อและแม่ อายุที่ห่างกันและความห่างไกล ทำให้ความสัมพันธ์อาจะไม่แนบชิดเหมือนพี่น้องคนอื่นทั่วไป แต่อย่างไรก็ตามสายใยบางๆก็ยังพันเกี่ยวคนที่สองให้แนบแน่นกันลึกๆ ยามักคิดว่ายาเข้าใจและรู้จักตัวมอสดี แต่ยา ก็คิดเยอะ มองคนใกล้ชิดในแง่ร้ายจนเกินไป เพียงเพราะมอสเป็นคนช่างพูด และเลือกที่เชื่อและให้ความสำคัญกับคนอื่นมากเกินกว่า มอส น้องชายแท้แท้ ซึ่งเป็นคนในครอบครัวเกือบจะคนสุดท้ายในชีวิตของเธอ ข้อสังเกตนี้เห็นได้จากปฏิริยของยา ในตอนแรก ต่อญาติที่มาร่วมงาน ในบทสนทนากับน้าอร และการที่ยา เข้าใจผิดว่ามอส บอกเหตุการณ์ที่เธอจูบกับเป๊กแก่เสี่ยเล้ง แต่ถ้ายา ลองนั่งคิดและทบทวน จะรู้ว่า มอสรักยามากขนาดไหน มอสพยายามรวบทุกอย่างในพิธีแต่งงานของพี่สาวมาอยุ่ที่ตัวเอง เพื่อความสมบูรณ์แบบของงาน เพื่อให้พี่สาวของตัวเองมีความสุขที่สุด เรื่องไหนที่จะทำให้พี่สาวไม่สบายใจ ก็จะพยายามไม่บอกพี่สาว แม้มอสจะมีอาการจู้จี้จุกจิกและจริงจังจนเกินไป แต่เรื่องไหนที่จำเป็นต้องเลือกและตัดสินใจ มอสก็ให้ความสำคัญกับพี่สาวในการที่จะเลือก ทั้งที่อาจจะตัดสินใจไปได้เองโดยพลการ ไม่ว่าจะเรื่องดอกพุทธรักษา หรือกระดาษเปเปอร์ชู๊ต ก็ตาม แต่ยาเองต่างหากที่เลือกจะเชื่อคนอื่น หรือเชื่อตัวเองแบบยึดมั่นถือมั่น จนทำให้เรื่องราวมันกระทบต่อจิตใจของใครหลายต่อหลายคนเช่นนี้

สุ และ เป๊ก คือปัจจัยตัวแปร ในความลังเลที่เกิดขึ้นในใจยา สุ คือเพื่อนรัก ประสบการณ์ความล้มเหลวในครอบครัว สุ ทำให้ สุ ก็แอบหวั่นใจกับความรักครั้งนี้ของเพื่อน สุ รักเพื่อนมาก จนไม่อยากให้ตกอยุ่ในสภาพเช่นเดียวกับตน สีหน้าและความกังวลของสุที่แสดงออกมาจางๆ มันทำให้ยา สังเกตได้และเกิดอาการไม่แน่ใจขึ้นมาเหมือนกัน และมันยิ่งสับสนต่อเนื่อง เมื่อได้พบกับคนรักเก่า ที่พูดภาษาเดียวกัน อ่านหนังสือคล้ายๆกัน คุยกันรู้เรื่องถูกคอ อย่างเป๊ก  ซึ่งผมมองว่าเป๊กคือบททดสอบสำคัญ และเป๊กก็เหี้ยมเหลือเกินที่พยายามมาทำให้ยาไขว้เขวในวันสำคัญของชีวิต เหมือนที่น้าอรว่า บางทีเราคิดว่าคนที่มีอะไรเหมือนๆเรา น่าจะเป็นคนที่เราอยู่ด้วยแล้วมีความสุขมากที่สุด แต่เถ้าเราไม่เคยได้ใช้ชีวิตอยู่กับเขา แน่นอนเราคงมองว่ามันต้องดีกับเราแน่ ซึ่งต่างกับเสี่ยเล้งที่เหมือนจะมีอะไรแตกต่างจากยาโดยสิ้นเชิง ไม่ค่อยพูด เงียบๆ โมโหแบบไม่โวยวายแต่เด็ดขาด แตกต่างไปยัน สถานะ และภาษา แต่ก็ยังประคับประคองอยู่กันมาได้  7 ปี อันเป็นเลขอาถรรพ์สำรับชีวิตรัก ที่อาจจะทำให้คนเลิกกัน หรือ รักกันไปจนตายก็ได้ เพราะความรักมันไม่ใช่แค่การมีอะไรที่เหมือน เพราะแท้ที่จริงแล้วการมีอะไรที่ต่างแต่สามารถเติมเต็มซึ่งกันและกันได้ รู้จักให้อภัยยามที่ผิดพลาด ให้โอกาสยามที่พลั้งเผลอ ให้กำลังใจกันยามที่อ่อนแอ ตามใจกันในวันที่พิเศษ สิ่งเหล่านี้มันน่าจะเป็นความรักที่แท้จริง ที่จะทำให้คนสองคนสามารถ สร้างครอบครัวที่อบอุ่นได้

การเลือกกระดาษเปเปอร์ชู๊ต แทรกสัญลักษณ์บางอย่าง ถ้าสีทอง คือ สีที่ใช้ในความเฉลิมฉลอง หรือไหว้บรรพบุรุษ ผมคงแทนสีทองแทนครอบครัว ส่วนสีม่วงนั้น ผมแทนด้วย ความหมายของการจากลาแล้วกัน เพราะบางคนชอบบอกว่าสีม่วง คือ สีของแม่ม่าย ดังนั้น หนังบ่งชี้มาตั้งแต่ตอนนั้นว่า ครอบครัวนี้หล่ะสำคัญที่สุดในชีวิต ยาเลือกถูกแล้วที่เลือก เปเปอร์ชูตสีทอง
ดอกพุทธรักษาอาจจะเป็นตัวแทนพ่อผู้จากไป น้าอรคือส่วนเติมเต็มของความเป็นแม่ มีมอสและยา เป็นลูกชายและสาว งานแต่งคืนนั้น ยาไม่ได้ขาดสิ่งใดไปเลย และยังได้ความรักที่ล้ำค่า จากชายอย่างเสี่ยเล้ง ที่ทำให้หลายคนต้องอิจฉา..เล้งไม่ใช่คนที่ดีพร้อมทุกอย่าง เพราะแม้แต่ขับรคเครื่อง เขายังขับได้อย่างงูๆปลาๆ แต่พลังบางอย่าง ที่ทำให้เขายอมทำทุกอย่างเพื่อยา ไม่ว่าจะออกไปหาดอกพุทธรักษา มาจัดงานแต่งงานที่เชียงใหม่ ให้อภัยการกระทำที่ผิดพลาดของยา จะมีอะไรเล่า นอกจากความรัก แม้เขาจะเป็นคนที่เงียบๆ จนดูไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ แต่เขาก็เงียบและทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้คนที่เขารักมีความสุขที่สุดนั่นเอง

ผมขอจบบทความอันยาวยืดแต่เพียงแค่นี้นะครับ ใครอยากจะร่วมพูดคุย ตีความ แสดงความคิดเห็นเชิญเลยนะครับ ขอเป็นหนึ่งเสียงที่เขามาบอกกล่าวเรื่องดีดีเหล่านี้ ไม่อยากให้หนังจากไปโดยที่คุณยังไม่ได้รับชม สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่าผมนึกถึงเพลงผ่านเลยไปท่อนที่ว่า “รักอยู่ที่ไหน จะไปหา....กว่าที่จะได้มันมาต้องเสียอะไร “ ผมเลยอยากตอบว่า ก็ต้องเสียตังค์ไปดูหนังเรื่องนี้ 100 กว่าบาท ก็อาจจะทำให้คุณรู้ว่า ความรัก ความสุข ความทรงจำ และคำว่า บ้าน มันหมายความว่ายังไงก็ได้นะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น